วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อริยสัจ ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ

พระองค์ตรัสไว้เเก่ อคิเวสนะ ว่า อัคคิเวสนะ ! เรานั้นหรือ, จำเดิมแต่เริ่มแสดง กระทั่งคำสุดท้ายแห่งการกล่าวเรื่องนั้นๆ ย่อมตั้งไว้ซึ่งจิตในสมาธินิมิตอันเป็นภายในโดยแท้ ให้จิตดำรงอยู่ ให้จิตตั้งมั่นอยู่ กระทำให้มีจิตเป็นเอก ดังเช่นที่คนทั้งหลายเคยได้ยินว่าเรากระทำอยู่เป็นประจำ ดังนี้. มหาสัจจกสูตรมู.ม. ๑๒ / ๔๖๐ / ๔๓๐ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ น. ๒๔๗(คัดลอกจากพระไตรปิฏก ฉบับบาลีสยามรัฐ) ฉนั้นในทุกคำตรัสของพระองค์จึง ถูกต้อง ตรงจริง ไม่จำกัดอยู่ด้วย กาล(อกาลิโก) ประกอบไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับไปได้โดยไม่มีส่วนเหลือเเห่งทุกข์ เเละถ้อยคำทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น สมณะ พรามหมณ์ เทพ มาร พรหมใดๆ ก็ล้วนติเตียนท้วงติงมิได้ ..
ที่ผมนำมากล่าวอยู่เป็นประจำก็เผื่อผู้ที่พอจะมี วาสนาบารมี ได้บังเอิญผ่านเข้ามาพบเจอ ก็จะเป็น โอกาสอันหามิได้ง่ายๆ ที่จะได้ยินได้ฟัง พระสัทธรรม ของพระบรมศาสดาที่ถูกต้องเเท้จริง การได้สดับเเล้วในถ้อยคำที่ถูกต้องเเท้จริง นั้นมี ผลใหญ่ อานิสงส์ใหญ่ อันดับเเรกก็ เป็นสาธุชนผู้ที่ได้สดับเเล้วในถ้อยคำของพระองค์ ซึ่งเป็นการประกันได้เเล้วถึงการได้รู้ ได้ยิน ได้ฟัง ในสิ่งที่ สัตว์ทั้งหลาย จะต้องได้ยินได้ฟังความจริง เพราะสิ่งที่เป็นเหตุเเห่งการเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์นั้นเพราะ สัตว์ทั้งหลายนั้น มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก จึงต้องเเล่นไปท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎอวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้ในอะไร? ก็ไม่รู้ความจริง คืออริยสัจ พระบรมศาสดาของเรา สอนเเต่ความจริง .. ศาสนาพุทธไม่ใช่ความเชื่อ หรือเป็นประเพณีนิยมอะไรที่ทำตามๆกันมา อันหาเหตุผลอะไรมิได้??? นั่นไม่ใช่นัยความหมายของศาสนาพุทธ เเต่เราส่วนใหญ่ที่ยังมีความเชื่อความรู้ในสิ่งที่ผิดไปจากสิ่งที่พระศาสดาของเราบอกสอน เพราะสาวกที่ ไม่ใส่ใจคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาอันที่ถูกต้องเเท้จริง(ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ) เพราะถ้าไปศึกษากันอย่างถูกต้องเเท้จริง จะรู้ว่า สิ่งใดๆทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ เเละโลกอื่น ๆ พระองค์ล้วนได้บอกสอนเอาไว้หมดสิ้นครบถ้วนดีเเล้วพระองค์ตรัสว่า ไม่มีธรรมอะไร ในกำมือของพระองค์ที่ยังทรงปิดบังซ้อนเร้นเอาไว้(ใบไม้ในกำมือ ที่พระองค์ทรงหยิบขึ้นมาสั่งสอนเพราะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เป็นไปพร้อมเพื่อมรรคผลนิพพานนั้น พระองค์บอกสอนหมดสิ้นเเล้ว )พระองค์จึงทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ตรัสว่า ธรรมวินัยทั้งหลายทั้งปวงนั้นพระองค์บัญญัติบอกสอนไว้ บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยสิ้นเชิงเเล้ว เเละสั่งห้ามภิกษุสาวก บัญญัติในสิ่งที่พระองค์มิเคยบัญญัติ เเละห้ามเพิกถอนสิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้เเล้ว
ครับก็ขออนุโมทนา


ฉนั้นคำสอนของสาวกจึงมีไม่ได้ ที่พุทธศาสนาของเราเเบ่งเเยกกันออกไปเพราะสาวกดันไปบัญญัติเพิ่มเเละเพิกถอนสิ่งที่พระศาสดา ทรงห้ามไว้ เพราะอะไร? เพราะไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนในสิ่งที่พระศาสดาของตนเอง ให้ศึกษาเล่าเรียน เเละเมื่อเรียนรู้เเล้วก็ไม่นำไปประพฤติปฎิบัติ เพราะอะไร เพราะไม่ศรัทธา เคารพเลื่อมใสอย่างเเท้จริงถูกต้อง พระองค์ทรงตรัสลักษณะเเห่งศรัทธาเเละการตามรู้พระสัทธรรมไว้ว่าผู้ที่จะตามรู้บรมสัจจ์นั้น มีขั้นตอน ดังนี้คือ เริ่มเเรกต้องมีความศรัทธา เเล้ว ต้องเข้ามาหา เข้ามานั่งใกล้ เงี่ยโสตลง ฟังซึ่งธรรม เเล้วทรงจำธรรมนั้นไว้ นำไปใคร่ครวญพิจารณาอยู่ในเนื้อความเหล่านั้น ธรรมทั้งหลายนั้นย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์ (เพราะเป็นความจริง) ผุ้ใคร่ครวญพิจารณาอยุ่โดยเเยบคายย่อมเกิด ฉันทะ คือความพอใจ เมื่อมีฉันทะเเล้วย่อมมี อุตสาหะ เมื่อมีอุตสาหะเเล้ว ย่อมหาความสมดุลเเห่งธรรม เเล้วย่อมตั้งตนไว้ในธรรมเหล่านั้นได้ เมื่อพิจารณาขั้นตอนทั้งหลายที่พระศาสดาตรัสไว้เเล้วจะเห็นความจริงชัดเจน ในสิ่งที่เราทั้งหลายเป็นอยู่ว่า เพราะเหตุใด เราจึงไม่สามารถ/หรือสามารถตามรู้ ในสัจธรรมทั้งหลายเหล่านั้น คือผู้ที่รู้เเล้วก็ย่อมรู้ว่าเพราะอะไร? ผู้ที่ยังไม่เข้ามารู้จะรู้อยู่ว่าเพราะเหตุใด? เพราะขาดขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไป การตามรู้จึงเกิดขึ้นมามิได้ เเละเพราะการที่ตนเองไม่รุ้ (เพราะไม่ใช่สัพพัญญู)ก็จึงคิดไปเอง อันเป็นเหตุเเห่งการ บัญญัติเพิ่ม เเล้วเมื่อมีการบัญญัติเพิ่ม ก็ย่อมที่เป็นการเพิกถอนสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เเล้ว ไปด้วยในตัว นี่คือเหตุเเห่งความเสื่อมในพระพุทธศาสนา เราชาวพุทธก็มัวไปเที่ยวช่วยกันสร้างวัตถุอะไรต่างๆนาๆ อันเป็นสิ่งที่พระศาสดาไม่เคยบอกสอนไว้ พระองค์ให้สร้าง คน คือ ภิกษุสาวกอบาสกอุบาสิกาที่มีความเลื่อมใสเคารพศรัทธา ในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว เเละมีศีลคือข้อรักษาอันเป็นศีลที่เป็นที่รักที่พอใจของเหล่าพระอริยเจ้า คือเป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่างพร้อย ฯ (ศีล5) อันเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของ ภิกษุสาวกในธรรมวินัยนี้ เเละเมื่อ สาวก(เเปลว่าผู้ฟังคำสอน) เป็นผู้ที่หยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวดีเเล้ว ความเจริญของพระสัทธรรมย่อมบังเกิดขึ้นมีตามมา เพราะผู้ที่หยั่งลงหมั่นไม่หวั่นไหวนั้นคือผู้ที่จะก้าวล่วง ปุถุชนภูมิ เข้าถึงซึ่งความเป็น อริยสาวก มีการได้ ความบรรลุในมรรคผลนิพพาน อันเป็นเบื้องหน้า ไม่เวียนกลับไปสู่ อบายทุกคติวินิบาต อีกต่อไป เเละนี่คือความเจริญอันเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันของพระสัทธรรมเเละภิกษุสาวก ผู้ประพฤติดี ปฎิบัติตรง ปฎิบัติควร ปฎิบัติชอบยิ่งในพระธรรมวินัยที่ถูกต้องเเท้จริง .....ส่วนการประพฤติปำบัติ การศึกษาเล่านเรียนที่ยังไม่อยู่ในสิ่งเหล่านี้ก็ย่อมได้ผลลัพท์ที่เห็นๆกันอยู่ ...ใครมีความฉลาดย่อมเเยกเเยะผิดชอบ ได้โดยไม่ยาก วันนี้ก็คงสมควรเเก่เวลา ขออนุโมทนา เเก่ผู้ที่เข้ามาสดับ ในธรรมะปริยายทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ซึ่งล้วนเเต่เป็นของพระบรมศาสดา อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็ขอให้ทุกๆท่านมีความสุขความเจริญในอรรถในธรรม มีมรรคผลเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตกาลอันใกล้โดยทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ สาธุ ...ขออนุโมทนา 

มาฟังธรรมะกันไปบ้าง ก็ดีกว่าที่ไม่ได้ฟังนะครับ พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ทรงตรัสว่าสาธุชนผู้ที่ได้สดับนั้นต่างจากสาธุชนที่ยังมิได้สดับอย่างสิ้นเชิง คือผู้ที่ได้สดับในธรรมะของพระองค์เเล้วเเม้เพียงหนึ่งบท เขาผู้นั้นถ้าไม่ใช่เป็นคนวิกลจริต ใบ้บ้า ก็มีโอกาสที่สักครั้งหนึ่งจะได้เห็น ว่าวิญญานหรือจิต นั้น เกิด-ดับ ซึ่งก็หมายถึงว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ มีปัญญา สามารถกระทำที่สุดเเห่งทุกข์ได้ ต่างจากสาธุชนผู้ที่ไม่ได้สดับ อย่างสิ้นเชิง เพราะผู้ที่ยังไม่เคยได้สดับในคำของตถาคต ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจิตนั้นมันเกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา ใครเข้ามาเห็นความจริงตรงนี้ ได้อย่างชัดเจนจะทำให้เขารู้ว่า อะไรๆก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนที่เเท้จริง อุบัติขึ้นเเล้วตั้งอยู่สักพักก็เเตกสลายไป ความหมายมั่นในสิ่งอะไรๆ ก็จะถ่ายถอนไปได้โดยลำดับ เเต่ผู้ที่ยังไม่ได้สดับ ก็จะไม่มีวันรู้เมื่อไม่รู้เขาเหล่านั้นก็ จะต้องเวียนว่ายไปในสังสารวัฎ อันยาวไกล หาที่สุดจบมิได้ ? เพราะอะไร? เพราะยังเป็นผู้ที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น เเละมีตัณหาเป็นเครื่องผูก สัตว์โลกทั้งหลาย ย่อมต้องเเล่นไปท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎที่เป็นทุกข์บ้าง สุขบ้างตามเหตุปัจจัยที่เขาเหล่านั้นได้กระทำมา อันมีส่วนที่เป็นผลเเห่งบุญ เเละส่วนที่เป็นผลเเห่งบาปกรรม ทั้งหลายที่เขากระทำมา สัตว์โลกจึงท่องเที่ยวไปไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เขาเหล่านั้น ยังไม่ได้เข้ามาสดับในคำของพระองค์ หรือยังไม่รุ้ อริยสัจ พระองค์จึงตรัสไว้อีกพระสูตรว่า ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันใด ของมนุษย์ที่ได้เกิดขึ้นมาเเล้วจะต้องรู้เท่า อริยสัจ นี้ พระองค์อุปมาเปรียบได้กับ ไฟที่ไหม้ อยู่บนเสื้อผ้าลุกลามไปจนถึงผมที่อยู่ศรีษะ พระองค์ถามภิกษุว่าเธอจักทำอะไรก่อน ภิกษุสาวกทูลว่าดับไฟ พระองค์ตรัสว่า ยังก่อน ให้เธอทั้งหลายมารู้อริยสัจ นี้ก่อน นี่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดที่มนุษย์จำเป็นต้องรู้ เพราะการที่ได้มารู้ อริยสัจ เเล้วนั้น สามารถจะหยุดเสียซึ่ง การเกิด เเก่ เจ็บ ตาย ได้ เเต่ถ้ายังไม่ได้รีบมารู้ในความจริงอันประเสริฐเหล่านี้ การที่สัตว์ทั้งหลาย จะต้องทนทุกข์ทรมาน อันเกิดจากการ เวียนว่าย เกิด-ตาย นั้น มันหาที่สุดจบลงมิได้ เพราะไฟที่ไหม้อยู่ในตัวเรานั้น มันก็ไหม้ได้เเค่ไม่อีกกี่ครั้ง พระองค์ตรัสว่า โสดาบัน คืออริยะบุคคลขั้นต่ำสุด คือพวกสัตตักขัตตุฯ นั้นจะเกิด-ตายอยู่ในภพเเห่ง เทวดาเเละมนุษย์ อีกไม่เกิน 7 คราว ก็จะได้เป็น พระอรหันต์ เข้าถึงซึ่ง มรรคผลนิพพานไม่มีภพที่ 8 ส่วนพวกที่มีอินทรีย์กล้าเเข็งกว่ารองขึ้นมาก็เป็นพวก โกลังโกละ จะกลับมาเกิดอยู่ในสกุล(คือภพเเห่งมนุษย์อีก1ถึง2คราว ก็บรรลุเป็นพระอรหันตร์ อีกพวกเป็น พวก เอกพีชี เกิดในภพเเห่งมนุษย์อีกคราวเดียว นีเป็นลักษณะของโสดาบัน 3 จำพวก เเละความจริงเหล่านี้ คือความจริงที่เป็นประโยชน์อันสัตว์โลกทั้งหลายไม่รู้

เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์กันเเล้ว ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องยาก พระองค์ตรัสอุปมาไว้นั้นพอๆกับการเกิดของ สัมมาสัมพุทธะ ก็ประมาณ 91 กัป 1 กัปป์ นั้นยาวนานขนาดไหน? พระองค์ตรัสว่า เปรียบได้กับภูเขาหินเเท่งทึบ ยาว1 กว้าง1 สูง1โยช ในหนึ่งร้อยปีมีเทวดาเอาผ้าที่เนียนละเอียดมาลูบไปคราวหนึง ทุกๆ 100 ปี ลูบไปจนกว่าภูเขาหินเเท่งทึบนี้จะสึกจนราบเรียบไป นั้นยังไม่พอจะนับได้ว่าเป็น 1 กัปป์ พระองค์ พูดเล่น พูดเพ้อเจ้อ หรือพูดไม่จริงหรือ?ไม่เลย พระองค์ตรัสว่าพระองค์ตรัสเเต่เรื่องจริง เรื่องเเท้ เรื่องที่ประกอบพร้อมไปเพื่อประโยชน์ ทำให้มหาชนเกิดสุข เเละเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน .ฉนั้นพระองค์ไม่รับสั่งล้อเล่นอย่างเเน่นอน .ฉนั้นเรามาเชื่อพระองค์กันดีกว่า อย่าไปมัวหลงเชื่อคำใครๆ ที่ยังเป็นปุถุชนธรรมดาๆ กันอยู่เลย มันหาประโยชน์อะไรเเทบจะไม่ได้ ถ้าเขาคนนั้นไม่ ได้พูดให้มันตรงกับ สัพพัญญู ผู้ที่เก่งที่สุดเลิศที่สุดในการบอกสอน พระองค์บอกสอนเเต่ความจริงเเท้ พระองค์ตรัสว่า พระองค์พูดอย่างไรทำอย่างนั้น เเละทำอย่างไร ก็พูดอย่างนั้น ก็เพื่ออนุเคราะห์ ให้สัตว์โลกหนีออกไปเสียได้จากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ด้วยความเมตตา เอื้อเฝื้อเอ็นดู เเสวงหาเเต่ประโยชน์เกื้อกูลอยู่ เเก่พวกเราเหล่าสาวกทั้งหลาย พระองค์ตรัสว่าพระองค์กระทำกิจที่ศาสดาควรกระทำเเก่พวกเราอันเป็นสาวกของพระองค์ เเล้ว เเละเตือนว่าอย่าประมาท อย่าต้องเป็นผู้ที่เดือดร้อนใจในภายหลังเลย ให้ทำความเพียรเผากิเลส นี่เเล วาจาอันเป็นเครื่องพร่ำสอนของพระองค์เเก่พวกเราทั้งหลาย เเละถ้าใครเชื่อตามประพฤติตาม ก็จะเกิด อนุสาสนีย์ปาฎิหาริย์ .คือปาฎิหาริย์ อันเกิดจากคำสั่งสอน ก็คือสามารถนำตนให้หลุดพ้นออกไปเสียได้จากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เหล่านี้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น