วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

กฏอิทัปปัจจยตา หรือ หัวใจปฏิจจสมุปบาท

กฏอิทัปปัจจยตา หรือ หัวใจปฏิจจสมุปบาท

อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ
เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ย่อมมี

อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

อิมสฺมึ อสติ อิทํ นโหติ
เมื่อสิ่งนี้ ไม่มี สิ่งนี้ ย่อมไม่มี

อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้ จึงดับไป
ม. ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑.
นิทาน.สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔,...ฯลฯ...

พุทธวจน ก้าวย่างอย่างพุทธะ

ก้าวย่างอย่างพุทธะ

คู่มือโสดาบัน

ธรรม ๗ ประการของผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๖ ประการนี้
เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ
เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน
เพื่อไม่วิวาทกัน
เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ธรรม ๖ ประการนั้นเป็นอย่างไร คือ :-

(๑) ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุมีกายกรรมประกอบด้วยเมตตา 
ปรากฏในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์
ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ
ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ
เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน
เพื่อไม่วิวาทกัน
เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

(๒) ภิกษุทั้งหลาย !  อีกประการหนึ่ง
ภิกษุมีวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา
ปรากฏในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์
ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ
ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ
เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน
เพื่อไม่วิวาทกัน
เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

(๓) ภิกษุทั้งหลาย !  อีกประการหนึ่ง
ภิกษุมีมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา
ปรากฏในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์
ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ
ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ
เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน
เพื่อไม่วิวาทกัน
เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

(๔) ภิกษุทั้งหลาย ! อีกประการหนึ่ง
ภิกษุมีลาภใดๆ เกิดโดยธรรม
ได้แล้วโดยธรรม
ที่สุดแม้เพียงอาหารติดบาตร
ก็บริโภคโดยไม่เกียดกันไว้เพื่อตน
ย่อมเป็นผู้บริโภคเฉลี่ยทั่วไป
กับเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ผู้มีศีล 

ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ
เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน
เพื่อไม่วิวาทกัน
เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

(๕) ภิกษุทั้งหลาย ! อีกประการหนึ่ง
ภิกษุเป็นผู้มีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
เป็นไท อันผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูกทิฏฐิครอบงำ
เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ
และถึงความเป็นผู้มีศีลเสมอกันในศีลเช่นนั้น
กับเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย 

ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ
ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ
เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน
เพื่อไม่วิวาทกัน
เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

(๖) ภิกษุทั้งหลาย !  อีกประการหนึ่ง
ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิอันเป็นอริยะ
อันเป็นเครื่องนำออก (นิยฺยานิก)
นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม
และถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิเสมอกันในทิฏฐิเช่นนั้น
กับเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ 

ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ
ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ
เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน
เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล
เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ
เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน
เพื่อไม่วิวาทกัน
เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

ภิกษุทั้งหลาย !
ทิฏฐิอันเป็นอริยะ
อันเป็นเครื่องนำออก
นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม
เป็นยอดยึดคุมธรรม ๖ ประการเหล่านี้ 

ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกันไว้.

ภิกษุทั้งหลาย !
เปรียบเหมือนยอดเป็นที่สูงสุด
เป็นที่ยึดคุมของเรือนยอด ฉันใด
ทิฏฐิอันเป็นอริยะ
อันเป็นเครื่องนำออก
นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เป็นยอดยึดคุมธรรม ๖ ประการเหล่านี้
ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน.

ภิกษุทั้งหลาย !
ก็ทิฏฐิอันเป็นอริยะ
อันเป็นเครื่องนำออก
นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม เป็นอย่างไร?

ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ไปแล้วสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่างก็ตาม
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
เราเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำใดครอบงำแล้ว (ปริยุฏฺฐาเนน ปริยุฏฺฐิตจิตฺโต)
ไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง
เครื่องครอบงำนั้นที่เรายังละไม่ได้ในภายใน มีอยู่หรือไม่หนอ.
ภิกษุทั้งหลาย !
ถ้าภิกษุมีจิตอันกามราคะครอบงำ
หรือมีจิตอันพยาบาทครอบงำ
หรือมีจิตอันถีนมิทธะครอบงำ
หรือมีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ
หรือมีจิตอันวิจิกิจฉาครอบงำ
ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว.
ถ้าภิกษุเป็นผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกนี้
หรือเป็นผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกอื่น
ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว.
ถ้าภิกษุุเกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่
ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำครอบงำแล้ว.
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เราเป็นผู้มีจิตถูกเครื่องครอบงำใดครอบงำแล้ว
ไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง
เครื่องครอบงำนั้นที่เรายังละไม่ได้ในภายใน
มิได้มีเลย จิตของเราตั้งไว้ดีแล้ว
เพื่อความตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย
นี้คือ ญาณที่ ๑ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน
อันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! อีกข้อหนึ่ง
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
เราเสพให้ทั่วถึง ทำให้เจริญ ทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้
ย่อมได้ความสงบเฉพาะตน
ย่อมได้ความดับเฉพาะตนหรือหนอ
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เราเสพให้ทั่วถึง ทำให้เจริญ ทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้
ย่อมได้ความสงบเฉพาะตน
ย่อมได้ความดับเฉพาะตน
นี้คือญาณที่ ๒ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน
อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! อีกข้อหนึ่ง
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
เราเป็นผู้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด
สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้
ที่เป็นผู้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้นมีอยู่หรือหนอ
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เราเป็นผู้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด
สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้
ที่เป็นผู้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้นมิได้มี
นี้คือญาณที่ ๓ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน
อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! อีกข้อหนึ่ง
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด
ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย !  ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิมีธรรมดาดังนี้ คือ
ความออกจากอาบัติเช่นใด ย่อมปรากฏ อริยสาวกย่อมต้องอาบัติเช่นนั้นบ้างโดยแท้
แต่ถึงอย่างนั้น
อริยสาวกนั้นจะรีบแสดง เปิดเผย ทำให้ตื้น ซึ่งอาบัตินั้น
ในสำนักพระศาสดาหรือเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ที่เป็นวิญญูชนทั้งหลาย
ครั้นแสดง เปิดเผย ทำให้ตื้นแล้ว ก็ถึงความสำรวมต่อไป
เปรียบเหมือนเด็กอ่อนที่นอนหงาย
ถูกถ่านไฟด้วยมือ หรือด้วยเท้าเข้าแล้ว
ก็จะชักหนีเร็วพลัน ฉะนั้น
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด
ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น
นี้คือญาณที่ ๔ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน
อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
  

ภิกษุทั้งหลาย ! อีกข้อหนึ่ง
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิมีธรรมดาดังนี้ คือ
อริยสาวกย่อมถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำ
ของเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์โดยแท้
แต่ถึงอย่างนั้น
ความปรารถนาอย่างแรงกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา
ของอริยสาวกนั้นก็ยังมีอยู่
เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน
ย่อมเล็มหญ้ากินไปด้วย ชำเลืองดูลูกไปด้วยฉะนั้น
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด
ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น
นี้คือญาณที่ ๕ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน
อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! อีกข้อหนึ่ง
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นใด
ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย !
 ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยพละเป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย !
พละของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิเป็นดังนี้ คือ
อริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่
ย่อมทำให้เกิดประโยชน์
ย่อมทำไว้ในใจ
ย่อมกำหนดด้วยจิตทั้งปวง
ย่อมเงี่ยโสตลงฟังธรรม
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นใด
ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นนั้น
นี้คือญาณที่ ๖ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน
อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว

ภิกษุทั้งหลาย ! อีกข้อหนึ่ง
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยพละเป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย !
พละของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิเป็นดังนี้ คือ
อริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่
ย่อมได้ความรู้อรรถ
ย่อมได้ความรู้ธรรม
ย่อมได้ปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ
เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นใด
ถึงเราก็เป็นผู้ประกอบด้วยพละเช่นนั้น
นี้คือญาณที่ ๗ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน
อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย !
ธรรมดาอันอริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการอย่างนี้
ตรวจดูดีแล้ว
ด้วยการทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการนี้แล
ย่อมเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยโสดาปัตติผล ดังนี้แล.

-บาลี มู. ม. ๑๒/๕๘๑/๕๔๒.


พุทธวจน คู่มือโสดาบัน

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559


พระโสดาบันเป็นผู้บริบูรณ์ในศีล (ปาฎิโมกข์) ได้พอประมาณในสมาธิและปัญญา

ภิกษุทั้งหลาย !  สิกขาบทร้อยห้าสิบสิกขาบทนี้ย่อมมาสู่อุทเทส (การยกขึ้นแสดงในท่ามกลางสงฆ์)
ทุกกึ่งแห่งเดือนตามลำดับ
อันกุลบุตรผู้ปรารถนาประโยชน์พากันศึกษาอยู่ในสิกขาบทเหล่านั้น.
ภิกษุทั้งหลาย !  สิกขาสามอย่างเหล่านี้มีอยู่ อันเป็นที่ประชุมลงของสิกขาบททั้งปวงนั้น.
สิกขาสามอย่างนั้นเป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-   
อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
ภิกษุทั้งหลาย !  เหล่านี้แล สิกขาสามอย่าง อันเป็นที่ประชุมลงแห่งสิกขาบททั้งปวงนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำพอประมาณในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา.
เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อย {๑} บ้าง และต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านั้นบ้าง.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่าไม่มีผู้รู้ใดๆ กล่าวความอาภัพต่อการบรรลุโลกุตตรธรรม จักเกิดขึ้น
เพราะเหตุสักว่าการล่วงสิกขาบทเล็กน้อย และการต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านี้. 
 ส่วนสิกขาบทเหล่าใดที่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ {๒} ที่เหมาะสมแก่พรหมจรรย์,
เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.

๑. สิกขาบทเล็กน้อย คือ อภิสมาจาริกาสิกขา เป็นสิกขาบทที่บัญญัติเพื่อให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนที่ยังไม่เลื่อมใส และเลื่อมใสยิ่งเกิดขึ้นแก่คนที่เลื่อมใสแล้ว.
๒. สิกขาบทเหล่าใดที่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ คือ สิกขาบทปาฏิโมกข์.


-บาลี ติก. อํ. ๒๐/๒๙๗/๕๒๖.

อธีสีงสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา

อาสีวิสสูตร

อาสีวิสสูตร

[๓๐๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้ง
หลาย เหมือนอย่างว่า มีอสรพิษ ๔ จำพวก ซึ่งมีฤทธิ์เดชแรงกล้า ถ้ามีบุรุษรักชีวิต ผู้ไม่
อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกรท่าน อสรพิษ ๔ จำพวก
นี้ มีฤทธิ์เดชแรงกล้า ท่านพึงปลุกให้ลุกตามเวลา ให้อาบน้ำตามเวลา ให้กินอาหารตามเวลา
ให้เข้าสู่ที่อยู่ตามเวลา เวลาใดอสรพิษทั้ง ๔ จำพวกนี้ ตัวใดตัวหนึ่งโกรธขึ้น เวลานั้นท่านก็
จะพึงถึงความตาย หรือถึงทุกข์แทบปางตาย กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย ฯ

[๓๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ จำพวกนั้น จึงหนีไป
ในที่อื่น ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกรท่าน มีเพชฌฆาตผู้เป็นฆ่าศึกอยู่ ๕ คน ได้ติด
ตามมาข้างหลังท่าน พบท่านในที่ใด ก็จะฆ่าท่านเสียในที่นั้น กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจ
นั้นเสีย ฯ

[๓๑๑] ครั้งนั้นแล บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ จำพวก และกลัวเพชฌฆาตผู้เป็นฆ่า
ศึกทั้ง ๕ คนนั้น จึงหนีไปในที่อื่น ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกรท่าน มีเพชฌฆาต
คนที่ ๖ ซึ่งเที่ยวไปในอากาศ เงื้อดาบติดตามมาข้างหลังท่าน พบท่านในที่ใด ก็จะตัดศีรษะของ
ท่านเสียในที่นั้น กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย ฯ

[๓๑๒] ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ จำพวกซึ่งมีฤทธิ์เดชแรงกล้า กลัว
เพชฌฆาตผู้เป็นฆ่าศึกทั้ง ๕ และกลัวเพชฌฆาตคนที่ ๖ ซึ่งเที่ยวไปในอากาศเงื้อดาบอยู่ จึงหนี
ไปในที่อื่น เขาพบบ้านร้างเข้า จึงเข้าไปสู่เรือนร้างว่างเปล่าหลังหนึ่ง ลูบคลำภาชนะว่างเปล่า
ชนิดหนึ่ง ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่าดูกรท่าน มีโจรทั้งหลายคอยฆ่าชาวบ้าน เข้ามา
สู่บ้านร้างนี้เสมอ กิจใดที่ท่านควรทำก็จงทำกิจนั้นเสีย


[๓๑๓] ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ กลัวเพชฌฆาตทั้ง ๕ กลัวเพชฌฆาตคน
ที่ ๖ และกลัวโจรผู้คอยฆ่าชาวบ้าน จึงหนีไปในที่อื่น เขาไปพบห้วงน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ฝั่งข้าง
นี้น่ารังเกียจ เต็มไปด้วยภัยอันตราย ฝั่งข้างโน้นเป็นที่เกษมปลอดภัย เรือแพ หรือสะพานที่
จะข้ามไปฝั่งโน้นไม่มี ฯ

[๓๑๔] ครั้งนั้น บุรุษนั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า ห้วงน้ำนี้ใหญ่นัก ฝั่งข้างนี้เป็นที่น่า
รังเกียจ เต็มไปด้วยภัยอันตราย ฝั่งข้างโน้นเป็นที่เกษมปลอดภัยเรือแพ หรือสะพานที่จะข้าม
ไปฝั่งโน้นก็ไม่มี ผิฉะนั้น เราควรจะมัดหญ้ากิ่งไม้และใบไม้ ผูกเป็นแพ เกาะแพนั้น พยายาม
ไปด้วยมือและด้วยเท้า ก็พึงถึงฝั่งโน้นได้โดยความสวัสดี ครั้นแล้ว บุรุษนั้นทำตามความคิด
ของตน ก็ว่ายข้ามฟากถึงฝั่งข้างโน้นแล้ว เป็นพราหมณ์ขึ้นบกไป ฯ

[๓๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้ออุปมานี้ เราสมมติขึ้นเพื่อจะให้รู้เนื้อความโดยง่าย ใน
ข้อนั้นมีเนื้อความดังนี้ คำว่า อสรพิษที่มีฤทธิ์แรงกล้าทั้ง ๔ จำพวกนั้น เป็นชื่อแห่งมหาภูตรูป
๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม คำว่าเพชฌฆาตทั้ง ๕ คนที่เป็นข้าศึกนั้น เป็นชื่อ
แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ คำว่า
เพชฌฆาตคนที่ ๖ซึ่งเที่ยวไปในอากาศเงื้อดาบอยู่นั้น เป็นชื่อแห่งนันทิราคะ คำว่า บ้านร้างนั้น
เป็นชื่อแห่งอายตนะภายใน ๖ ฯ

[๓๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้บัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญาใคร่ครวญ อายตนะภายใน ๖
นั้น ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะปรากฏว่าเป็นของว่าง เปล่า สูญทั้งนั้น ฯ
คำว่า โจรผู้ฆ่าชาวบ้านนั้น เป็นชื่อแห่งอายตนะภายนอก ๖ ตาย่อมเดือดร้อนเพราะ
รูปเป็นที่พอใจและไม่พอใจ หูย่อมเดือดร้อน เพราะเสียงเป็นที่พอใจและไม่พอใจ จมูกย่อม
เดือดร้อนเพราะกลิ่นเป็นที่พอใจและไม่พอใจ ลิ้นย่อมเดือดร้อนเพราะรสเป็นที่พอใจและไม่พอใจ
กายย่อมเดือดร้อนเพราะโผฏฐัพพะเป็นที่พอใจและไม่พอใจ ใจย่อมเดือดร้อนเพราะธรรมารมณ์
เป็น ที่พอใจและไม่พอใจ คำว่า ห้วงน้ำใหญ่นั้น เป็นชื่อแห่งโอฆะทั้ง ๔ คือ กาโมฆะ ภโวฆะทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ คำว่า ฝั่งข้างนี้อันเป็นที่น่ารังเกียจ เต็มไปด้วยภัยอันตรายนั้น เป็นชื่อ
แห่งร่างกายของตน คำว่า ฝั่งข้างโน้นเป็นที่เกษม ปลอดภัยนั้นเป็นชื่อแห่งนิพพาน คำว่า
แพนั้น เป็นชื่อแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ คือสัมมาทิฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ คำว่า
พยายามข้ามไปด้วยมือและเท้า เป็นชื่อแห่งวิริยารัมภะ คำว่า ผู้เป็นพราหมณ์ว่ายข้ามฟากถึง
ฝั่งโน้นแล้วขึ้นบกไป เป็นชื่อแห่งพระอรหันต์ ฯ

ธั ม ม จั ก กั ป ป วั ต ต น สู ต ร

ธั ม ม จั ก กั ป ป วั ต ต น สู ต ร


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่​ควรเสพ คือ
การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุข​ในกามทั้งหลาย ๑
การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน​ เป็นความลำบาก ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้​น
นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญ​ญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด
ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน...

ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือ
ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑
เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ
ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์
ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที​่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก​็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เ​ป็นทุกข์ โดยย่นย่อ คือ "อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์"

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือ
ตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจค​วามเพลิน
มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ
ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิ​ปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ
ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑
เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑
มหาวิ.วิ. ๔/๑๕/๑๓

อริยสัจ ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ

พระองค์ตรัสไว้เเก่ อคิเวสนะ ว่า อัคคิเวสนะ ! เรานั้นหรือ, จำเดิมแต่เริ่มแสดง กระทั่งคำสุดท้ายแห่งการกล่าวเรื่องนั้นๆ ย่อมตั้งไว้ซึ่งจิตในสมาธินิมิตอันเป็นภายในโดยแท้ ให้จิตดำรงอยู่ ให้จิตตั้งมั่นอยู่ กระทำให้มีจิตเป็นเอก ดังเช่นที่คนทั้งหลายเคยได้ยินว่าเรากระทำอยู่เป็นประจำ ดังนี้. มหาสัจจกสูตรมู.ม. ๑๒ / ๔๖๐ / ๔๓๐ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ น. ๒๔๗(คัดลอกจากพระไตรปิฏก ฉบับบาลีสยามรัฐ) ฉนั้นในทุกคำตรัสของพระองค์จึง ถูกต้อง ตรงจริง ไม่จำกัดอยู่ด้วย กาล(อกาลิโก) ประกอบไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับไปได้โดยไม่มีส่วนเหลือเเห่งทุกข์ เเละถ้อยคำทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น สมณะ พรามหมณ์ เทพ มาร พรหมใดๆ ก็ล้วนติเตียนท้วงติงมิได้ ..
ที่ผมนำมากล่าวอยู่เป็นประจำก็เผื่อผู้ที่พอจะมี วาสนาบารมี ได้บังเอิญผ่านเข้ามาพบเจอ ก็จะเป็น โอกาสอันหามิได้ง่ายๆ ที่จะได้ยินได้ฟัง พระสัทธรรม ของพระบรมศาสดาที่ถูกต้องเเท้จริง การได้สดับเเล้วในถ้อยคำที่ถูกต้องเเท้จริง นั้นมี ผลใหญ่ อานิสงส์ใหญ่ อันดับเเรกก็ เป็นสาธุชนผู้ที่ได้สดับเเล้วในถ้อยคำของพระองค์ ซึ่งเป็นการประกันได้เเล้วถึงการได้รู้ ได้ยิน ได้ฟัง ในสิ่งที่ สัตว์ทั้งหลาย จะต้องได้ยินได้ฟังความจริง เพราะสิ่งที่เป็นเหตุเเห่งการเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์นั้นเพราะ สัตว์ทั้งหลายนั้น มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก จึงต้องเเล่นไปท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎอวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้ในอะไร? ก็ไม่รู้ความจริง คืออริยสัจ พระบรมศาสดาของเรา สอนเเต่ความจริง .. ศาสนาพุทธไม่ใช่ความเชื่อ หรือเป็นประเพณีนิยมอะไรที่ทำตามๆกันมา อันหาเหตุผลอะไรมิได้??? นั่นไม่ใช่นัยความหมายของศาสนาพุทธ เเต่เราส่วนใหญ่ที่ยังมีความเชื่อความรู้ในสิ่งที่ผิดไปจากสิ่งที่พระศาสดาของเราบอกสอน เพราะสาวกที่ ไม่ใส่ใจคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาอันที่ถูกต้องเเท้จริง(ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ) เพราะถ้าไปศึกษากันอย่างถูกต้องเเท้จริง จะรู้ว่า สิ่งใดๆทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ เเละโลกอื่น ๆ พระองค์ล้วนได้บอกสอนเอาไว้หมดสิ้นครบถ้วนดีเเล้วพระองค์ตรัสว่า ไม่มีธรรมอะไร ในกำมือของพระองค์ที่ยังทรงปิดบังซ้อนเร้นเอาไว้(ใบไม้ในกำมือ ที่พระองค์ทรงหยิบขึ้นมาสั่งสอนเพราะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เป็นไปพร้อมเพื่อมรรคผลนิพพานนั้น พระองค์บอกสอนหมดสิ้นเเล้ว )พระองค์จึงทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ตรัสว่า ธรรมวินัยทั้งหลายทั้งปวงนั้นพระองค์บัญญัติบอกสอนไว้ บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยสิ้นเชิงเเล้ว เเละสั่งห้ามภิกษุสาวก บัญญัติในสิ่งที่พระองค์มิเคยบัญญัติ เเละห้ามเพิกถอนสิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้เเล้ว
ครับก็ขออนุโมทนา


ฉนั้นคำสอนของสาวกจึงมีไม่ได้ ที่พุทธศาสนาของเราเเบ่งเเยกกันออกไปเพราะสาวกดันไปบัญญัติเพิ่มเเละเพิกถอนสิ่งที่พระศาสดา ทรงห้ามไว้ เพราะอะไร? เพราะไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนในสิ่งที่พระศาสดาของตนเอง ให้ศึกษาเล่าเรียน เเละเมื่อเรียนรู้เเล้วก็ไม่นำไปประพฤติปฎิบัติ เพราะอะไร เพราะไม่ศรัทธา เคารพเลื่อมใสอย่างเเท้จริงถูกต้อง พระองค์ทรงตรัสลักษณะเเห่งศรัทธาเเละการตามรู้พระสัทธรรมไว้ว่าผู้ที่จะตามรู้บรมสัจจ์นั้น มีขั้นตอน ดังนี้คือ เริ่มเเรกต้องมีความศรัทธา เเล้ว ต้องเข้ามาหา เข้ามานั่งใกล้ เงี่ยโสตลง ฟังซึ่งธรรม เเล้วทรงจำธรรมนั้นไว้ นำไปใคร่ครวญพิจารณาอยู่ในเนื้อความเหล่านั้น ธรรมทั้งหลายนั้นย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์ (เพราะเป็นความจริง) ผุ้ใคร่ครวญพิจารณาอยุ่โดยเเยบคายย่อมเกิด ฉันทะ คือความพอใจ เมื่อมีฉันทะเเล้วย่อมมี อุตสาหะ เมื่อมีอุตสาหะเเล้ว ย่อมหาความสมดุลเเห่งธรรม เเล้วย่อมตั้งตนไว้ในธรรมเหล่านั้นได้ เมื่อพิจารณาขั้นตอนทั้งหลายที่พระศาสดาตรัสไว้เเล้วจะเห็นความจริงชัดเจน ในสิ่งที่เราทั้งหลายเป็นอยู่ว่า เพราะเหตุใด เราจึงไม่สามารถ/หรือสามารถตามรู้ ในสัจธรรมทั้งหลายเหล่านั้น คือผู้ที่รู้เเล้วก็ย่อมรู้ว่าเพราะอะไร? ผู้ที่ยังไม่เข้ามารู้จะรู้อยู่ว่าเพราะเหตุใด? เพราะขาดขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไป การตามรู้จึงเกิดขึ้นมามิได้ เเละเพราะการที่ตนเองไม่รุ้ (เพราะไม่ใช่สัพพัญญู)ก็จึงคิดไปเอง อันเป็นเหตุเเห่งการ บัญญัติเพิ่ม เเล้วเมื่อมีการบัญญัติเพิ่ม ก็ย่อมที่เป็นการเพิกถอนสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เเล้ว ไปด้วยในตัว นี่คือเหตุเเห่งความเสื่อมในพระพุทธศาสนา เราชาวพุทธก็มัวไปเที่ยวช่วยกันสร้างวัตถุอะไรต่างๆนาๆ อันเป็นสิ่งที่พระศาสดาไม่เคยบอกสอนไว้ พระองค์ให้สร้าง คน คือ ภิกษุสาวกอบาสกอุบาสิกาที่มีความเลื่อมใสเคารพศรัทธา ในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว เเละมีศีลคือข้อรักษาอันเป็นศีลที่เป็นที่รักที่พอใจของเหล่าพระอริยเจ้า คือเป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่างพร้อย ฯ (ศีล5) อันเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของ ภิกษุสาวกในธรรมวินัยนี้ เเละเมื่อ สาวก(เเปลว่าผู้ฟังคำสอน) เป็นผู้ที่หยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวดีเเล้ว ความเจริญของพระสัทธรรมย่อมบังเกิดขึ้นมีตามมา เพราะผู้ที่หยั่งลงหมั่นไม่หวั่นไหวนั้นคือผู้ที่จะก้าวล่วง ปุถุชนภูมิ เข้าถึงซึ่งความเป็น อริยสาวก มีการได้ ความบรรลุในมรรคผลนิพพาน อันเป็นเบื้องหน้า ไม่เวียนกลับไปสู่ อบายทุกคติวินิบาต อีกต่อไป เเละนี่คือความเจริญอันเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันของพระสัทธรรมเเละภิกษุสาวก ผู้ประพฤติดี ปฎิบัติตรง ปฎิบัติควร ปฎิบัติชอบยิ่งในพระธรรมวินัยที่ถูกต้องเเท้จริง .....ส่วนการประพฤติปำบัติ การศึกษาเล่านเรียนที่ยังไม่อยู่ในสิ่งเหล่านี้ก็ย่อมได้ผลลัพท์ที่เห็นๆกันอยู่ ...ใครมีความฉลาดย่อมเเยกเเยะผิดชอบ ได้โดยไม่ยาก วันนี้ก็คงสมควรเเก่เวลา ขออนุโมทนา เเก่ผู้ที่เข้ามาสดับ ในธรรมะปริยายทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ซึ่งล้วนเเต่เป็นของพระบรมศาสดา อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็ขอให้ทุกๆท่านมีความสุขความเจริญในอรรถในธรรม มีมรรคผลเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตกาลอันใกล้โดยทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ สาธุ ...ขออนุโมทนา 

มาฟังธรรมะกันไปบ้าง ก็ดีกว่าที่ไม่ได้ฟังนะครับ พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ทรงตรัสว่าสาธุชนผู้ที่ได้สดับนั้นต่างจากสาธุชนที่ยังมิได้สดับอย่างสิ้นเชิง คือผู้ที่ได้สดับในธรรมะของพระองค์เเล้วเเม้เพียงหนึ่งบท เขาผู้นั้นถ้าไม่ใช่เป็นคนวิกลจริต ใบ้บ้า ก็มีโอกาสที่สักครั้งหนึ่งจะได้เห็น ว่าวิญญานหรือจิต นั้น เกิด-ดับ ซึ่งก็หมายถึงว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ มีปัญญา สามารถกระทำที่สุดเเห่งทุกข์ได้ ต่างจากสาธุชนผู้ที่ไม่ได้สดับ อย่างสิ้นเชิง เพราะผู้ที่ยังไม่เคยได้สดับในคำของตถาคต ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจิตนั้นมันเกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา ใครเข้ามาเห็นความจริงตรงนี้ ได้อย่างชัดเจนจะทำให้เขารู้ว่า อะไรๆก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนที่เเท้จริง อุบัติขึ้นเเล้วตั้งอยู่สักพักก็เเตกสลายไป ความหมายมั่นในสิ่งอะไรๆ ก็จะถ่ายถอนไปได้โดยลำดับ เเต่ผู้ที่ยังไม่ได้สดับ ก็จะไม่มีวันรู้เมื่อไม่รู้เขาเหล่านั้นก็ จะต้องเวียนว่ายไปในสังสารวัฎ อันยาวไกล หาที่สุดจบมิได้ ? เพราะอะไร? เพราะยังเป็นผู้ที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น เเละมีตัณหาเป็นเครื่องผูก สัตว์โลกทั้งหลาย ย่อมต้องเเล่นไปท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎที่เป็นทุกข์บ้าง สุขบ้างตามเหตุปัจจัยที่เขาเหล่านั้นได้กระทำมา อันมีส่วนที่เป็นผลเเห่งบุญ เเละส่วนที่เป็นผลเเห่งบาปกรรม ทั้งหลายที่เขากระทำมา สัตว์โลกจึงท่องเที่ยวไปไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เขาเหล่านั้น ยังไม่ได้เข้ามาสดับในคำของพระองค์ หรือยังไม่รุ้ อริยสัจ พระองค์จึงตรัสไว้อีกพระสูตรว่า ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันใด ของมนุษย์ที่ได้เกิดขึ้นมาเเล้วจะต้องรู้เท่า อริยสัจ นี้ พระองค์อุปมาเปรียบได้กับ ไฟที่ไหม้ อยู่บนเสื้อผ้าลุกลามไปจนถึงผมที่อยู่ศรีษะ พระองค์ถามภิกษุว่าเธอจักทำอะไรก่อน ภิกษุสาวกทูลว่าดับไฟ พระองค์ตรัสว่า ยังก่อน ให้เธอทั้งหลายมารู้อริยสัจ นี้ก่อน นี่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดที่มนุษย์จำเป็นต้องรู้ เพราะการที่ได้มารู้ อริยสัจ เเล้วนั้น สามารถจะหยุดเสียซึ่ง การเกิด เเก่ เจ็บ ตาย ได้ เเต่ถ้ายังไม่ได้รีบมารู้ในความจริงอันประเสริฐเหล่านี้ การที่สัตว์ทั้งหลาย จะต้องทนทุกข์ทรมาน อันเกิดจากการ เวียนว่าย เกิด-ตาย นั้น มันหาที่สุดจบลงมิได้ เพราะไฟที่ไหม้อยู่ในตัวเรานั้น มันก็ไหม้ได้เเค่ไม่อีกกี่ครั้ง พระองค์ตรัสว่า โสดาบัน คืออริยะบุคคลขั้นต่ำสุด คือพวกสัตตักขัตตุฯ นั้นจะเกิด-ตายอยู่ในภพเเห่ง เทวดาเเละมนุษย์ อีกไม่เกิน 7 คราว ก็จะได้เป็น พระอรหันต์ เข้าถึงซึ่ง มรรคผลนิพพานไม่มีภพที่ 8 ส่วนพวกที่มีอินทรีย์กล้าเเข็งกว่ารองขึ้นมาก็เป็นพวก โกลังโกละ จะกลับมาเกิดอยู่ในสกุล(คือภพเเห่งมนุษย์อีก1ถึง2คราว ก็บรรลุเป็นพระอรหันตร์ อีกพวกเป็น พวก เอกพีชี เกิดในภพเเห่งมนุษย์อีกคราวเดียว นีเป็นลักษณะของโสดาบัน 3 จำพวก เเละความจริงเหล่านี้ คือความจริงที่เป็นประโยชน์อันสัตว์โลกทั้งหลายไม่รู้

เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์กันเเล้ว ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องยาก พระองค์ตรัสอุปมาไว้นั้นพอๆกับการเกิดของ สัมมาสัมพุทธะ ก็ประมาณ 91 กัป 1 กัปป์ นั้นยาวนานขนาดไหน? พระองค์ตรัสว่า เปรียบได้กับภูเขาหินเเท่งทึบ ยาว1 กว้าง1 สูง1โยช ในหนึ่งร้อยปีมีเทวดาเอาผ้าที่เนียนละเอียดมาลูบไปคราวหนึง ทุกๆ 100 ปี ลูบไปจนกว่าภูเขาหินเเท่งทึบนี้จะสึกจนราบเรียบไป นั้นยังไม่พอจะนับได้ว่าเป็น 1 กัปป์ พระองค์ พูดเล่น พูดเพ้อเจ้อ หรือพูดไม่จริงหรือ?ไม่เลย พระองค์ตรัสว่าพระองค์ตรัสเเต่เรื่องจริง เรื่องเเท้ เรื่องที่ประกอบพร้อมไปเพื่อประโยชน์ ทำให้มหาชนเกิดสุข เเละเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน .ฉนั้นพระองค์ไม่รับสั่งล้อเล่นอย่างเเน่นอน .ฉนั้นเรามาเชื่อพระองค์กันดีกว่า อย่าไปมัวหลงเชื่อคำใครๆ ที่ยังเป็นปุถุชนธรรมดาๆ กันอยู่เลย มันหาประโยชน์อะไรเเทบจะไม่ได้ ถ้าเขาคนนั้นไม่ ได้พูดให้มันตรงกับ สัพพัญญู ผู้ที่เก่งที่สุดเลิศที่สุดในการบอกสอน พระองค์บอกสอนเเต่ความจริงเเท้ พระองค์ตรัสว่า พระองค์พูดอย่างไรทำอย่างนั้น เเละทำอย่างไร ก็พูดอย่างนั้น ก็เพื่ออนุเคราะห์ ให้สัตว์โลกหนีออกไปเสียได้จากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ด้วยความเมตตา เอื้อเฝื้อเอ็นดู เเสวงหาเเต่ประโยชน์เกื้อกูลอยู่ เเก่พวกเราเหล่าสาวกทั้งหลาย พระองค์ตรัสว่าพระองค์กระทำกิจที่ศาสดาควรกระทำเเก่พวกเราอันเป็นสาวกของพระองค์ เเล้ว เเละเตือนว่าอย่าประมาท อย่าต้องเป็นผู้ที่เดือดร้อนใจในภายหลังเลย ให้ทำความเพียรเผากิเลส นี่เเล วาจาอันเป็นเครื่องพร่ำสอนของพระองค์เเก่พวกเราทั้งหลาย เเละถ้าใครเชื่อตามประพฤติตาม ก็จะเกิด อนุสาสนีย์ปาฎิหาริย์ .คือปาฎิหาริย์ อันเกิดจากคำสั่งสอน ก็คือสามารถนำตนให้หลุดพ้นออกไปเสียได้จากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เหล่านี้ 

คนนิสัยไม่ดี ในที่นี้หมายถึง อสัตบุรุษ มีลักษณะ คือ ๑. เปิดเผยข้อเสียของคนอื่น ๒. ปกปิดข้อดีของคนอื่น ๓. ปกปิดข้อเสียของตนเอง ๔. เปิดเผยข้อดีของตนเอง ***************** ๑. อสัตบุรุษ ถึงไม่ถูกใครถามก็เปิดเผยข้อเสียของคนอื่น เพราะจิตที่เป็นอกุศลมีความริษยาเป็นต้น จึงไม่สงสารเห็นใจผู้อื่น ๒. อสัตบุรุษถึงถูกใครถามก็ไม่เปิด เผยข้อดีของคนอื่น เพราะจิตที่เป็นอกุศลมีความตระหนี่เป็นต้น จึงไม่ประกาศสรรเสริญความดีของคนอื่น ๓. อสัตบุรุษ ถึงถูกใครถามก็ไม่เปิดเผยข้อเสียของตน เพราะจิตที่เป็นอกุศลมีความถือตัวเป็นต้น จึงบิดบังกิเลสที่มีอยู่ในตน ๔. อสัตบุรุษ ถึงไม่ถูกใครถามก็เปิดเผยข้อดีของตนเอง เพราะจิตที่เป็นอกุศลมีความโอ้อวดเป็นต้น จึงหวั่นไหวต่อคำสรรเสริญหรือนินทา ************************************** ๓. สัปปุริสสูตร ว่าด้วยธรรมของอสัตบุรุษและสัตบุรุษ [๗๓] ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการพึงทราบว่า เป็นอสัตบุรุษ ธรรม ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. อสัตบุรุษในโลกนี้ถึงไม่มีใครถามก็เปิดเผยข้อเสียหายของบุคคลอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอสัตบุรุษผู้ถูกถามเลย และอสัตบุรุษผู้ถูกถาม ก็ตอบปัญหาทันที ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว กล่าวถึงข้อเสีย ของบุคคลอื่นอย่างละเอียดเต็มที่ นี้พึงทราบว่า ‘ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ’ ๒. อสัตบุรุษถึงถูกใครถามก็ไม่เปิดเผยข้อดีของบุคคลอื่น ไม่จำเป็น ต้องพูดถึงอสัตบุรุษผู้ไม่ถูกถามเลย และอสัตบุรุษผู้ถูกถามก็ตอบ ปัญหาอ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว กล่าวสรรเสริญข้อดีของบุคคลอื่น ไม่ละเอียดเต็มที่ นี้พึงทราบว่า ‘ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ’ ๓. อสัตบุรุษถึงถูกใครถามก็ไม่เปิดเผยข้อเสียของตน ไม่จำเป็นต้อง พูดถึงอสัตบุรุษผู้ไม่ถูกถาม และอสัตบุรุษผู้ถูกถามก็ตอบปัญหาอ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว กล่าวถึงข้อเสียของตนไม่ละเอียดเต็มที่ นี้พึงทราบว่า ‘ผู้นี้เป็นอสัตบุรษ’ ๔. อสัตบุรุษถึงไม่ถูกใครถามก็เปิดเผยข้อดีของตน ไม่จำเป็นต้อง พูดถึงอสัตบุรุษผู้ถูกถาม และอสัตบุรุษผู้ถูกถามก็รีบตอบปัญหา ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว กล่าวสรรเสริญข้อดีของตนอย่างละเอียดเต็มที่ นี้พึงทราบว่า ‘ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ’ ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แลพึงทราบว่า เป็นอสัตบุรุษ สัปปุริสสูตร องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๗๓/๑๑๘ มหาจุฬา ฯ

คนนิสัยไม่ดี ในที่นี้หมายถึง อสัตบุรุษ มีลักษณะ คือ
๑. เปิดเผยข้อเสียของคนอื่น
๒. ปกปิดข้อดีของคนอื่น
๓. ปกปิดข้อเสียของตนเอง
๔. เปิดเผยข้อดีของตนเอง
*****************
๑. อสัตบุรุษ ถึงไม่ถูกใครถามก็เปิดเผยข้อเสียของคนอื่น เพราะจิตที่เป็นอกุศลมีความริษยาเป็นต้น จึงไม่สงสารเห็นใจผู้อื่น
๒. อสัตบุรุษถึงถูกใครถามก็ไม่เปิด เผยข้อดีของคนอื่น เพราะจิตที่เป็นอกุศลมีความตระหนี่เป็นต้น จึงไม่ประกาศสรรเสริญความดีของคนอื่น
๓. อสัตบุรุษ ถึงถูกใครถามก็ไม่เปิดเผยข้อเสียของตน เพราะจิตที่เป็นอกุศลมีความถือตัวเป็นต้น จึงบิดบังกิเลสที่มีอยู่ในตน
๔. อสัตบุรุษ ถึงไม่ถูกใครถามก็เปิดเผยข้อดีของตนเอง เพราะจิตที่เป็นอกุศลมีความโอ้อวดเป็นต้น จึงหวั่นไหวต่อคำสรรเสริญหรือนินทา
**************************************
๓. สัปปุริสสูตร
ว่าด้วยธรรมของอสัตบุรุษและสัตบุรุษ
[๗๓] ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการพึงทราบว่า เป็นอสัตบุรุษ ธรรม ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. อสัตบุรุษในโลกนี้ถึงไม่มีใครถามก็เปิดเผยข้อเสียหายของบุคคลอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอสัตบุรุษผู้ถูกถามเลย และอสัตบุรุษผู้ถูกถาม ก็ตอบปัญหาทันที ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว กล่าวถึงข้อเสีย ของบุคคลอื่นอย่างละเอียดเต็มที่ นี้พึงทราบว่า ‘ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ’
๒. อสัตบุรุษถึงถูกใครถามก็ไม่เปิดเผยข้อดีของบุคคลอื่น ไม่จำเป็น ต้องพูดถึงอสัตบุรุษผู้ไม่ถูกถามเลย และอสัตบุรุษผู้ถูกถามก็ตอบ ปัญหาอ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว กล่าวสรรเสริญข้อดีของบุคคลอื่น ไม่ละเอียดเต็มที่ นี้พึงทราบว่า ‘ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ’
๓. อสัตบุรุษถึงถูกใครถามก็ไม่เปิดเผยข้อเสียของตน ไม่จำเป็นต้อง พูดถึงอสัตบุรุษผู้ไม่ถูกถาม และอสัตบุรุษผู้ถูกถามก็ตอบปัญหาอ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว กล่าวถึงข้อเสียของตนไม่ละเอียดเต็มที่ นี้พึงทราบว่า ‘ผู้นี้เป็นอสัตบุรษ’
๔. อสัตบุรุษถึงไม่ถูกใครถามก็เปิดเผยข้อดีของตน ไม่จำเป็นต้อง พูดถึงอสัตบุรุษผู้ถูกถาม และอสัตบุรุษผู้ถูกถามก็รีบตอบปัญหา ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว กล่าวสรรเสริญข้อดีของตนอย่างละเอียดเต็มที่ นี้พึงทราบว่า ‘ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ’
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แลพึงทราบว่า เป็นอสัตบุรุษ
สัปปุริสสูตร องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๗๓/๑๑๘ มหาจุฬา ฯ

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

นิยามของความตายและเหตุแห่งความตาย

นิยามของความตายและเหตุแห่งความตาย
หากกล่าวถึงความตายหรือมรณะ พระองค์ทรงตรัสความหมายของคำนี้ว่า...
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  ก็มรณะเป็นไฉน  
ได้แก่  ความจุติ  ความเคลื่อนไป  ความแตก
ความอันตรธาน  ความตาย  ความมรณะ  
การทำกาละ  ความสลายแห่งขันธ์  ความทอดทิ้งร่าง
ความขาดชีวิตินทรีย์  จากหมู่สัตว์นั้นๆ  ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ  นี้เรียกว่ามรณะ
(พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หัวข้อ ๑๕๔)
แล้วมรณะเกิดได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์ทรงตรัสว่า
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ในครั้งนั้นพระอานนท์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์ทรงตรัสถามแก่พระอานนท์ดังพระสูตรต่อไปนี้

ดูกรอานนท์   เมื่อเธอถูกถามว่า ชรามรณะ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่า  ชรามรณะมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็นปัจจัย
(มหานิทานสูตร หัวข้อ ๕๗)
ในเรื่องของความตายพระศาสดาทรงตรัสอุปมา
เหมือนภาชนะดิน ชนิดใดชนิดหนึ่ง ทั้งที่ดิบทั้งที่สุก
ภาชนะดินเหล่านั้นทั้งหมด  มีความแตกเป็นธรรมดา
มีความแตกเป็นที่สุด ไม่ล่วงพ้นความแตกไปได้เลย
(พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค หัวข้อ ๔๐๐)

พระองค์จึงทรงให้เราพิจารณถึงความตายอยู่เนืองๆ  ดังพระสูตรที่ว่า...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต
จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ความมัวเมาในชีวิตมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลาย
ประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ
ย่อมละความมัวเมาในชีวิตนั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต
จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
(ฐานสูตร หัวข้อ ๕๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต)

นิยามของความตายและเหตุแห่งความตาย

นิยามของความตายและเหตุแห่งความตาย
หากกล่าวถึงความตายหรือมรณะ พระองค์ทรงตรัสความหมายของคำนี้ว่า...
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  ก็มรณะเป็นไฉน  
ได้แก่  ความจุติ  ความเคลื่อนไป  ความแตก
ความอันตรธาน  ความตาย  ความมรณะ  
การทำกาละ  ความสลายแห่งขันธ์  ความทอดทิ้งร่าง
ความขาดชีวิตินทรีย์  จากหมู่สัตว์นั้นๆ  ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ  นี้เรียกว่ามรณะ
(พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หัวข้อ ๑๕๔)
แล้วมรณะเกิดได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์ทรงตรัสว่า
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ในครั้งนั้นพระอานนท์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์ทรงตรัสถามแก่พระอานนท์ดังพระสูตรต่อไปนี้

ดูกรอานนท์   เมื่อเธอถูกถามว่า ชรามรณะ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ
เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่า  ชรามรณะมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็นปัจจัย
(มหานิทานสูตร หัวข้อ ๕๗)
ในเรื่องของความตายพระศาสดาทรงตรัสอุปมา
เหมือนภาชนะดิน ชนิดใดชนิดหนึ่ง ทั้งที่ดิบทั้งที่สุก
ภาชนะดินเหล่านั้นทั้งหมด  มีความแตกเป็นธรรมดา
มีความแตกเป็นที่สุด ไม่ล่วงพ้นความแตกไปได้เลย
(พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค หัวข้อ ๔๐๐)

พระองค์จึงทรงให้เราพิจารณถึงความตายอยู่เนืองๆ  ดังพระสูตรที่ว่า...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต
จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ความมัวเมาในชีวิตมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลาย
ประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ
ย่อมละความมัวเมาในชีวิตนั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต
จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
(ฐานสูตร หัวข้อ ๕๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต)